” บ้านมณีพฤกษ์ ” นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ | วันใหม่ไปไหน

ความสงบและความอบอุ่นของบ้านมณีพฤกษ์ทำให้เป็นที่พักที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในวงกว้าง บ้านมณีพฤกษ์เป็นที่พักที่ตั้งอยู่ในภูเขาที่งดงามของเขตทริป น่าน เนิบ เนิบ ที่เต็มไปด้วยความสวยงามและความสงบเงียบที่สร้างความผ่อนคลายแก่ผู้มาพักผ่อน อยู่ในบ้านมณีพฤกษ์ คุณจะได้สัมผัสกับความเป็นอยู่แบบชาวบ้านที่อบอุ่น ร่วมกับการมีวิวที่งดงามของเขาละลานตาที่สร้างประสบการณ์ที่ยากจะลืมได้

Table of Contents

สถานที่ตั้งและการเดินทาง

บ้านมณีพฤกษ์ " นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ  | วันใหม่ไปไหน - YouTube

บ้านมณีพฤกษ์ตั้งอยู่ในเขตทริป น่าน เนิบ เนิบ ทางภาคเหนือของประเทศไทย การเดินทางสามารถทำได้โดยการเดินทางทางอากาศมาที่สนามบินน่าน หรือเดินทางด้วยรถยนต์ โดยใช้เส้นทางทางหลวงหมายเลข 101 จากกรุงเทพฯ การเดินทางใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง และจากเมืองน่าน สามารถนั่งรถตู้หรือรถบัสเพื่อเดินทางไปยังบ้านมณีพฤกษ์ได้

บ้านมณีพฤกษ์: บ้านเล็กแสนอบอุ่น

บ้านมณีพฤกษ์ " นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ  | วันใหม่ไปไหน - YouTube

เมื่อเข้าพักที่บ้านมณีพฤกษ์ คุณจะรับรู้ถึงบรรยากาศอบอุ่นและความเป็นอยู่ที่เป็นมิตรทันทีที่สุด บ้านเล็กสไตล์ทริปิคอลของบ้านมณีพฤกษ์มีการตกแต่งที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมธรรมชาติของที่นี่ ห้องพักมีความเป็นส่วนตัวสูง โดยมีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ทันสมัยและสไตล์ที่สวยงาม ทุกห้องพักมีหน้าต่างที่ให้คุณสามารถชมวิวทิวทัศน์ที่งดงามของเขาได้

วิวเขาละลานตา

บ้านมณีพฤกษ์ " นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ  | วันใหม่ไปไหน - YouTube

หนึ่งในจุดเด่นที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาพักที่บ้านมณีพฤกษ์คือวิวที่เห็นได้ทั้งเขาและทุ่งนา คุณจะได้สัมผัสกับความงดงามและความสงบของธรรมชาติที่ร่วมสมัยอย่างเต็มที่ ทุกเช้าคุณจะได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับพระอาทิตย์ที่ขึ้นของแผ่นดิน และเห็นทิวทัศน์ที่อุดมไปด้วยเขาลูกหูลูกแม่ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากการนอนหลับ

กิจกรรมและการท่องเที่ยวใกล้เคียง

วันใหม่ไปไหน - YouTube

  1. ปั่นจักรยานเข้าสู่ธรรมชาติ – คุณสามารถเช่าจักรยานและเข้าสู่เส้นทางที่วางไว้เพื่อสนุกกับการปั่นจักรยานในธรรมชาติที่งดงามของทริป น่าน เนิบ เนิบ รู้สึกได้ถึงลมหนาวที่เย็นสบายเป็นอย่างมากในระหว่างทาง
  2. การเดินป่าเพื่อสำรวจ – บ้านมณีพฤกษ์อยู่ใกล้กับพื้นที่ป่าและอุทยานธรรมชาติที่งดงาม คุณสามารถออกไปสำรวจและเดินเล่นในป่าเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติอันงดงามที่มีทั้งสัตว์ป่าและพืชป่า
  3. การเยือนวัด – ทริป น่าน เนิบ เนิบเป็นที่รู้จักกันในเส้นทางของวัดที่สวยงามและเป็นเอกลักษณ์ คุณสามารถได้รับการทรงพระสังฆราชวิถีที่เป็นเอกลักษณ์และเข้าไปสัมผัสกับวัฒนธรรมที่ลึกลับของทริป น่าน เนิบ เนิบ

สรุป

วันใหม่ไปไหน - YouTube

การพักผ่อนที่บ้านมณีพฤกษ์เป็นประสบการณ์ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและการผ่อนคลายในธรรมชาติที่งดงามของทริป น่าน เนิบ เนิบ คุณจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและความเป็นส่วนตัวสูง และสามารถเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของเขาละลานตาได้ทุกเช้า

คำถามที่พบบ่อย

1. บ้านมณีพฤกษ์มีอะไรบ้างในสถานที่ใกล้เคียง?

บ้านมณีพฤกษ์อยู่ใกล้กับเขตทริป น่าน เนิบ เนิบ ซึ่งมีที่ท่องเที่ยวในธรรมชาติอย่างสวยงาม เช่น การเดินป่า การจักรยานเส้นทางที่เฉียงไปในเขา และการเยือนวัดที่ใกล้เคียง

2. มีกิจกรรมใดที่สามารถทำในบ้านมณีพฤกษ์บ้าง?

คุณสามารถทำกิจกรรมเช่นการเล่นเกมบอร์ดหรือการอ่านหนังสือในบ้านมณีพฤกษ์ นอกจากนี้ยังสามารถนั่งพักผ่อนบนระเบียงและชมวิวที่งดงามได้ด้วย

3. บ้านมณีพฤกษ์เหมาะสำหรับกลุ่มคนใด?

บ้านมณีพฤกษ์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและความสงบสุข นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับคู่รักที่ต้องการสถานที่ที่โรแมนติกและเงียบสงบเพื่อนำเสนอความรักกัน

4. การเดินทางมาถึงบ้านมณีพฤกษ์ใช้เวลานานแค่ไหน?

การเดินทางมาถึงบ้านมณีพฤกษ์อาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับสถานที่ต้นทาง หากเดินทางด้วยรถยนต์จากกรุงเทพฯ ใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง

5. บ้านมณีพฤกษ์มีบริการอะไรบ้างสำหรับผู้เข้าพัก?

บ้านมณีพฤกษ์มีบริการต่างๆ เช่น อาหารเช้าอร่อยและสดใหม่ทุกวัน บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายฟรี บริการรถรับส่งสนามบิน และบริการทำความสะอาดห้องพักเป็นระยะเวลาประจำ

” บ้านมณีพฤกษ์ ” นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ | วันใหม่ไปไหน [VIDEO]

#บ้านภูแววิว – #ดอยผาผึ้ง #น่าน #2วัน1คืน ทริปที่ได้พักผ่อนและลุยไปพร้อมๆ กัน 🍃 วันแรกกับการพักผ่อนชิลๆ ดูวิวทิวเขาเพลินตา มีฝนโปรยปราย และสายรุ้งก็มาทักทาย พร้อมมื้อเย็นหมูจุ่มกับบรรยากาศเย็นสบาย ยามค่ำคืนฟ้าเริ่มเปิดพอให้เห็นดวงดาวที่เรียงราย ตอนเช้าตื่นนอนนั่งรถอีแต๊กไปขึ้นดอยผาผึ้ง ค่ารถ 700-1,000 บาทแล้วแต่ฤดูกาล . . #บ้านไม้ 🏡 : มี 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ระเบียงส่วนตัว ห้องน้ำในตัวและเครื่องทำน้ำอุ่น : มีอาหาร 2 มื้อ ชาร้อน และอุปกรณ์อาบน้ำเบื้องต้น เริ่มต้นที่คนละ 1300-1800 บาท #ห้องไผ่ 🍃 :มี 1 ห้องนอน ระเบียงส่วนตัว ตัวห้องจะมีระเบียงเชื่อมกับบ้านใหญ่ ห้องน้ำนอก เดินไปห้องน้ำราวๆ 25 ก้าวเดิน : มีอาหาร 2 มื้อ ชาร้อน และอุปกรณ์อาบน้ำเบื้องต้น สำหรับห้องไผ่ *ไม่แนะนำสำหรับเด็ก ราคาเริ่มต้นคนละ 750-900 บาท . . #ติดต่อที่พักได้ที่ ☎ บ้านภูแววิว Phuvae VIEW HOME โทร 📞 092 390 5098 ไลน์ id : phuvaeview_home จองห้องพัก : https://reservation.roomscope.com/192… 📍 พิกัด : https://g.page/PhuvaeVIEWHOME?share #รีวิวที่พัก #น่าน #แดดลมฝน ——————————————– ใช้เพลงแบบถูกลิขสิทธิ์ แบบรายเดือนและรายปี ได้ที่ https://artlist.io/George-1204553

เนื้อหาของวิดีโอ ” บ้านมณีพฤกษ์ ” นอนบ้านเล็กแสนอบอุ่น กับวิวเขาละลานตา | ทริป น่าน เนิบ เนิบ | วันใหม่ไปไหน

ในที่สุดฤดูฝนก็ได้วนกลับมายังพวกเราทุกคนอีก อีกครั้งแล้วค่ะ เรื่องราวของทริปหน้านวดหน้าก็จะกลับมาดำเนินต่อไปเช่นกัน หลังจากเดินทางออกจากบ้านกล้วย แกว่าจะคม Stay Khao ก็ได้ค่ะ มีที่หลายคนว่าจะต้องไปต่ออีก สถานที่แห่งหนึ่งให้ได้ค่ะสถานที่แห่งนี้นั้นตั้งอยู่ที่บ้านมณีพฤกษ์อำเภอทุ่งช้างจังหวัดน่าน มีระยะทางห่างจากบ้านกล้วยเพียง 30 15 กิโลเมตรเท่านั้น LINE ที่นี่มีชื่อเสียงเรียงนามว่าบ้านภูแววิวค่ะ ถึงแม้ว่ารอยต่อจากบ้านกล้วยไปยังบ้านมณีพฤกษ์จะมีระยะทางเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ด้วยฤดูฝนที่มักจะมาพร้อมกับพายุที่โหมกระหน่ำรุนแรงต่อเนื่องอย่างพายุมู่หลานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หลายพื้นที่ในจังหวัดน่านได้รับความเสียหาย รวมถึงถนนเส้นนี้ที่เรากำลังเดินทางอยู่ด้วยพอได้รับผลกระทบจากดินสไลด์หลายจุดจึงทำให้การ การเดินทางนี้ใช้เวลานานกว่าที่คิดเอาไว้ เกาหลีตัวเองไปตามทางโค้งของถนน ฟ้าหลังฝนที่แจ่มใสได้ไม่นานก็มีฝนตกโปรยปรายลงมาอีกครั้ง สังเกตได้จากร่องรอยหยดน้ำบนหน้าต่าง ถนนทั้งสายที่เริ่มชุ่มน้ำ ในความรู้สึก อากาศภายในรถที่เย็นชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางสีเขียวของธรรมชาติ ทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งที่มองผ่าน สายตา เหมือนเขาได้มาช่วยบำบัดจิต ใจเราให้สงบผ่อนคลาย แถมยังช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าให้เราได้ดีเลยค่ะ ขับผ่านอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวสดมาแล้วก็เหมือน เหมือนผ่านพ้นพายุมาด้วยฟ้าหลังฝนกลับมาอีกครั้ง โทรมาพร้อมวิวทะเลภูเขานับไม่ถ้วนบ่งบอกถึงการขึ้นมาเหนือความสูงกว่า 1000 เมตรจากระดับน้ำ น้ำทะเลปานกลาง เราสะดุดตากับวิวภูเขาตรงหน้า ยิ่งพอเข้าไปใกล้ๆก็เริ่มเห็นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นภาพสวนกะหล่ำ ที่เรียงตัวไล่ระดับบนเนิน เขายังแน่นๆ ซึ่งบอกตามตรงว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่ชวนให้พวกเราตื่นตาตื่นใจกันมากๆเพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ ไม่เห็นถุงกะหล่ำปลีที่สวยงามเต็มภูเขา แต่ความสวยงามของอาชีพนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการเสียสละของป่าไม้บนภูเขาและภัยอันตรายจาก สารเคมีที่มีต่อชาวบ้านค่ะ ช่วงหลังชาวบ้านในบ้านมณีพฤกษ์ซึ่งมีการทยอยกันป่าว หันมาปลูกกาแฟแบบเกษตรไบโอชีวภาพกันมากขึ้นเพื่อคืนป่าไม้ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ คลังชนบ้านมณีพฤกษ์กลายเป็นแหล่งกาแฟชั้นดีเลยทีเดียว เดินทางกลางฝน อยู่ตั้งแต่เที่ยงจรดเย็น จนในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงบ้านภูแววิวกันแล้วค่ะ กำลังดีเลยมีแดดรอดกลีบเมฆมาเป็นระยะระยะ เพียงพอให้เราได้เก็บ มุมสูงรอบๆหมู่บ้าน บ้านภูแววิวตั้งอยู่บ้านมณีพฤกษ์อำเภอทุ่งช้าง เป็นรอยเล็กๆในใจ จังหวัดน่าน สามารถมองเห็นวิวภูเขาที่เป็นยอดเขาลูกหนึ่งบนเทือกเขาดอยภูคาอยู่ใกล้ๆ มีชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ม้งและรั้ว ซึ่งเดิมทีชาวบ้านที่นี่จะมีรายได้หลักจากการปลูกกะหล่ำปลีและขิง เหมือนอย่างภูเขากะหล่ำปลีก่อนหน้านี้ที่เราได้ขับรถผ่านมานั้นเองค่ะ แต่ด้วยความที่พืชเหล่านี้ต้องถูก ในที่โล่งแจ้ง ทำให้มีการทางปลาจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นจึงแก้ปัญหาปรับเปลี่ยนมาปลูกกาแฟแทน ด้วยปัจจัยเรื่องอากาศ หมาที่มีความหนาวเย็นตลอดปีมีแสงแดดน้อยทำให้กาแฟค่อยๆสูบมีเวลา สะสมธาตุอาหาร สภาพดินที่เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน มีธาตุโพแทสเซียมสูงช่วยให้ผลกาแฟหวาน กลายเป็นแบรนด์กาแฟเดอม้งดังคุ้นหูคอกาแฟไทยที่มีรางวัลการันตีคุณภาพจะมีราคา ราคาสูงที่สุดใน ไทยค่ะ แต่ทำความรู้จักบ้านมณีพฤกษ์ไป สมควรแล้วเราไปชมบ้านพัก ของเรากันบ้างค่ะ พี่เจ้าของที่พักที่ออกมาต้อนรับตัวแทน บางทีเราเดินเข้าไปด้วยสภาพเนื้อตัวที่ค่อนข้างสบาย บักบอมจากที่ผ่านมา Darling สีทาเข้าไปในบ้านพักอย่างรวดเร็วเพื่อรีบไปทำ เนื้อตัวให้ สดชื่นขึ้น พักที่นี่ออกแบบได้สวยงามและใส่ เลยค่ะดูได้ ตั้งแต่รั้วบ้านการทำป้ายเล็กๆน่ารักๆ รวมไปถึงระเบียงบ้านตัวบ้านและภายใน สิ่งที่เราประทับใจอย่าง ต่อเนื่องคือวิวภูเขาที่สระ สามารถมองผ่าน ภายในบ้านได้ แม้ว่าอากาศฟ้าฝนจะเป็นยังไงเราก็ยังสามารถชมวิวทิวเขานี้ได้ตลอดวัน รักๆตกแต่ง ชื่อดังที่น่าจะเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นความชอบ ของเราด้วยเช่นกันทั้งวิวที่สวยงาม หนังสือการ์ตูนแฟรี่เทลเรื่องโปรด ถึงได้กลายเป็นมุมโปรดของเราได้ไม่ยากเลย ถ่ายมุมนั่งเล่นไปสู่ห้องนอนภายในห้องหอมฟุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นดอก ไม้ เป็นห้องนอนที่ชวนฝันมากเลยทีเดียว ถามกับมีหน้าตาอีก บ้านให้แสงแดดได้พอเข้าถึงในยามเช้า ส่วนห้องน้ำกว้างขวางแบ่ง สั่งสอนให้เลือกใช้อย่าง อาบน้ำทำความสะอาด เคลียร์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว สดชื่นก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมที่จะพาทุกคนไปเสพบรรยากาศดีๆกันแล้วค่ะ ก่อนอื่นก็ขอสั่ง น้ำเย็นๆ แก้วและขนม บ้านภูแววิว คาเฟ่ มาเติมเต็มเพิ่มพลัง ได้ดื่ม น้ำเย็นๆ การเดินทางไกลมา ได้นั่งนิ่งๆกว่า สายตามองภาพเหล่านี้ไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ได้ว่าอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยค่ะ อากาศในยามบ่ายมีแดดอ่อนๆแต่เย็นสบาย ชวนให้เราอยากไปเดินเล่นรอบๆที่พักกันบ้าง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ อาการทางธรรมชาติอย่างรุ้งกินน้ำที่เลี้ยงสีอยู่ การทดรอบก็เป็นไฟไม่น้อยเลยค่ะ เราหันเห สนใจมาที่รั้วไหม ที่เต็มไปด้วยกุหลาบ เปลือยสีชมพูเข้มบนอ่อน เหลืองสลับไปมาตามแนวยาวของรั้ว ชวนให้บรรยากาศ สดชื่นหอมหวาน จนต้องขอเป็น บันทึกภาพไว้สักหน่อย และบริเวณรอบๆนี้ก็ยังมีดอกไม้ดอกใหญ่อีกหลายชนิดเลยค่ะบ้านพักวิวดีมีเสน่ห์เต็ม ไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ทำเอาอีก ชาเจ้าถิ่นอย่างน้องเหมียวที่นอนสบายอยู่เลยค่ะ สายฝนกับแสงแดด ยังคงสลับกันไปมาอยู่ด้วยเรื่อยๆพอเริ่มตกเย็นก็มีเด็กๆในหมู่บ้านออกมาเดินเล่นกันเป็นกลุ่ม เจ้าที่กำลังถ่ายภาพมุมสูงด้วยเจ้าโดนตัวนี้ก็ทำเอาเด็กๆตื่น ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่จะโดนถ่ายภาพ ติดไปด้วย เห็นแบบนี้ก็เลยอดที่จะแกล้งไม่ได้จนเด็กๆพากันวิ่งวุ่นเข้าไปในพุ่มไม้คิดว่าคงหลง ผลจากเจ้าโดนตัวนี้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้น ทำให้เราได้เห็นเส้นทางที่เด็กๆกำลังวิ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนภารกิจ เก็บภาพมุมสูง สำเร็จเด็กๆก็พากันกลับมาอีก ค้างด้วยความกล้าและฐาน มาทาน ต้องขอบคุณ ในกลุ่มนี้เลยค่ะที่นำความน่ารักมาสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับพวกเราเหมือนเป็นการต้อนรับอย่างนึง ที่ทำให้พวกเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปด้วย ก้าวเดินออกมายังระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศ ชมวิวพยายาม ซึมซาบ ให้เป็นหนึ่งเดียว ที่นี้ วิวทะเลภูเขา ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ตรงหน้า เราสามารถพูดได้เต็ม คำว่าที่นี่ช่างสวย ยิ่งได้มา สัมผัสด้วยตัวเองผ่านประสาท ทั้งหูตาบาท จมูกณจุดนี้เราแทบไม่อยากขยับ เตรียมตัวไปไหนทั้งนั้นเลย ในช่วงเช้าของบางวันถ้าอากาศ ก็จะมีหมอก ตาไหลมากระทบกันเต็มร่องเขานี้ ต้องมารอลุ้นกัน เป็นข่าวว่าเราจะได้เจอกัน ตอนนี้สายฝนกับ กันไปมา ทำให้เกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ คนที่สวยที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยเห็น เขียนมาในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ สายรุ้งกินน้ำเคยเห็น ฉันในเวลาเดียวกัน รุ้งกินน้ำ ชั้นล่างเรียกว่ารุ้งปฐมภูมิ ส่วนรุ้งกินน้ำชั้นบนสีแดงๆนั้นเรียกว่ารุ้งทุติยภูมิค่ะ ที่นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ การที่ได้เห็นการเรียงตัวของศีรษะ การต่างๆที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าด้วยองศา 3 ความโค้งมนที่ลงตัวทอดยาวเด่น งานอยู่ท่ามกลางขุน เขาแห่งเมืองน่านนะเวลานั้นมีความรู้สึกดีมากมายเกินที่จะกลายเป็นคำพูดได้จริงๆค่ะ ฝ่ายเริ่มมาฝนไม่นานทางที่พักก็จัดชาบูมาให้ค่ะ นั่งทานไปชมวิวไป นอกจากมองเห็นภูแวแล้วยังสามารถมองเห็นผ่าตัด ของพระอาทิตย์อีกด้วยค่ะ ระหว่างที่เพลิดเพลินกับมื้อเย็นอยู่นานทะเลหมอกก็เริ่มไหลมาตั้งแต่เย็นจนถึงช่วงใกล้ค่ำ ท้องฟ้ามืดลงเราก็ได้ภาพวีดีโอนี้มาค่ะ เป็นทะเลหมอกที่มีฉาก เป็นทะเลดาวค่อยๆเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน เสียงคลื่นทะเลที่ ไปมาอยู่ อย่างนั้นตกดึกเราก็จะพาทุกคนมาสิ ส่งเข้านอนโดยทางช้างเผือกที่ผ่านมาให้เห็นได้ไม่นานนะเพราะด้วยแสงสว่างของพระจันทร์และไม่ฝนที่พัก มาบดบัง ทำให้เราได้นำมาฝาก ทุกคนได้เพียงเท่านี้แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าค่ะ ฉันยังคงเป็นเสียงนาฬิกาปลุก ปลุกฉันดีของเราเสมอ มันไม่ได้ทำ กลับกันเรารู้สึก ถึงความมีชีวิตชีวาอย่างบอก เช้าวันนี้ไม่มีทะเลหมอกเหมือนเมื่อวาน แต่ทดแทนด้วยสีของท้องฟ้าที่เกิน ธรรมบรรยาย พระอาทิตย์จะขึ้นซะอีก ของรถอีแต๊กเอาไว้ เป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจ กาแฟเดอม้ง แล้วจะเป็นไกด์นำเที่ยวของเราในวันนี้ที่จะพาเราเดินทาง ทางขึ้นสู่ดอยผา หาผึ้งโดยใช้รถ เป็นการเปิดตัว ที่ทำให้พวกเราเฝ้ารอและมีความ ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เรานั่งรอพี่ชายใน วางบิลไป เมื่อเช้าผ่านกระจก ตรงร่องเขาพอมีหมอก เสียงกลางลอยมาให้เห็น จนถึงเวลาที่แดก เช้าได้ส่อง ศูนย์กระจายและละลาย ไป ในที่สุด การรอคอยก็มาถึง พี่ชายมาพร้อมกับรถ ติดแอร์ที่เราไม่คุ้น มีเจ้าเหมียวออกมาส่งเราด้วยขี้อ้อนสุด ถามแล้วก็ไปลุยกันเลยค่ะ ค่ะโดยปกติการเดินทางไปดอยผาผึ้งนั้นจะใช้รถโฟวิลในการ ขึ้นไปจุดใครจะเดินไปก็ได้แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน ฝนที่ตก เกือบทุกวันทำให้ถนนลูกรังได้เปลี่ยนเป็นคนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย เป็นค่าเดินทางนั้นแต่ละฤดูกาลก็จะ ในหน้าฝนเราจ่ายค่าเดินทางไปในราคา 1,000 บาทเดี๋ยวถ้าทุกคนได้เห็นเส้นทางกลับบ้าน การที่เราได้เจอก็จะรู้เองค่ะว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน ช่วงแรกนั้นถนนยังคงเป็นคอนกรีต ที่มีความเรียบอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพบกับความเป็นจริงที่รถอีแต๊กกำลัง ตัดลงสู่ถนนรูปร่าง ที่ฉันไปด้วยโคลน สีน้ำตาลส้ม ระหว่างทางจะเป็นป่าสนเรียงรายสองข้างทางตัดสลับกับทุ่งหญ้าคา สีเขียวเป็นช่วงๆรถอีแต๊กแรงดีคันนี้ถ้าเราขับผ่านเนินเขาแต่ระดับไปเรื่อยๆพี่ใช้ ขับรถอีแต๊กเก่งมากๆค่ะบางช่วงทางเล็กมากๆจนเราคิดว่าไม่น่าจะรอด แต่แกก็คอยบังคับให้มันผ่านไปได้ตลอดความรู้สึกเราตอนนี้คือระหว่างทางก็สวยจนอยากจะอ้วก เก็บภาพรัวๆ แต่สภาพเราทั้งสองคนที่แค่พยายามนั่งให้ก้นวางอยู่ที่เดิมก็ยังยากเลยค่ะ แล้วยิ่งบางช่วงที่เราใส่ไปตามทางที่ไม่เท่ากันรักษาของรถอีแต๊กก็ค่อยๆเอียงจนสมองมันคอยแตก คิดที่ธนาคารว่าเราจะตกรถอีแต๊กแล้วเพิ่งลงไปรวมกับบิลคนอยู่ด้วยเลยค่ะดูจากหน้าก็รู้ว่าเกรงสุด สูตรจากภาพที่คิดไว้ว่าเป็นทริปเรียบๆชิวๆสบายๆกลายเป็นชุดสายรัดจนภัยทรหด เขย่าตับไตไส้พุงกันแบบปั่นป่วน ซึ่งถ้าใครทานมื้อเช้ามาด้วยแล้วก็ เราว่าน่าจะมีพุงกันบ้างแน่ๆเลยค่ะแต่เราที่ยังไม่ทานอะไรมาตั้งแต่เช้าก็เกร็งจนเริ่มหิวแล้ว โชคดีที่พบขนม ติดตัวมาบ้าง ตอนนี้แค่จะใส่ขนมให้ตรงปากยังยากเลยเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม แถมบางจุดก็จะมีต้นสูงที่โดนพายุพัดกระหน่ำจนล้มพาดยาวมายังอีกฝั่งทำให้เราต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ถ้าอย่างนั้นจากนักท่องเที่ยวจะพัฒนากลายเป็นผู้ประสบภัยโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน ผ่านด่าน เขาธรรมชาติมาล่ะ LINE สูตรเมื่อพบจุดที่มีน้ำขัง น้ำไม่สามารถไหลผ่านไปได้พี่ชายก็จะลงไปเปิดทางน้ำให้เขาได้ไหลผ่านไปได้ค่ะ บุกป่าฝ่าดงมาเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ตอนนี้เราก็มองเห็นยอดดอยผาผึ้งแล้วค่ะทุกคน ดอยผาผึ้งมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนแหลมตั้งตระหง่าน ขึ้นมา สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร ส่วนมากจะเป็นทุ่งหญ้าคาปกคลุมขาวตามลักษณะที่เราเห็น ใกล้ๆและมีลักษณะเหมือนดอยภูแว มารถอีแต๊กมาจอด ถึงจุดที่เราต้องเดินเท้าขึ้นไปสู่ยอดดอยผาผึ้งก็ถึงเวลาใช้กำลังขา ของตัวเองพาตัวเองขึ้นไปพบกับความสวยงามของเธอ ธรรมชาติกันแล้วค่ะ พี่ชายเดินนำเราไปก่อนล่ะ สาย 9 เพื่อเช็คเส้นทางให้ล่วงหน้า ถ้ายังไม่ถึงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างหน้าหนาวที่ชาวบ้านจะช่วยกัน ถางหญ้าเป็นทางเดินขึ้นเพื่ออำนวย ท่องเที่ยวค่ะ ที่นี่สวยงามและเงียบสงบมากเลย นับได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศ 360 และยังเป็นอีก Android ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือมาเที่ยวกันมากนะ ไม่เราเดินมาจนถึงยอดดอยผาผึ้งก็เริ่มมีลมเย็นๆเข้ามาปะทะกับหน้า ทำให้รู้สึกสด ชื่อและลืมความหิวไปเลยค่ะ หลังจากนั้นก็ปล่อยกายจะอิสระให้ซึมซับกับความสวยงามของวิวข้างหน้าแบบเต็ม พี่ชัยเล่าว่าที่มาของชื่อดอยผาผึ้งนั้นมาจาก สมัยก่อนที่มีผึ้งมาทำรังบนหน้าผาจำนวนมากและชาวบ้านมักจะปีนป่ายขึ้นมาตีผึ้งมากมายจน ปัจจุบันไม่มีรังผึ้งเหลืออยู่แล้ว แต่เปลี่ยนไปจุดชมวิวยอดฮิตของหมู่บ้านแทน ซึ่งบนยอดดอยนี้จะมอง ปลาดิบอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ สายก็จะมองเห็น ดอยภูแว สถานที่ที่ชาวม้งพำนักเป็นที่แรกก่อนย้ายมาอยู่ที่บ้านมณีพฤกษ์ สภาพอากาศเป็นใจขึ้นก่อนหน้าฝนตกเราจะสามารถเห็นทะเลหมอกในตอนเช้าตรู่ที่ยกตัวสูงเกือบจะเยอะ ดอยเลยค่ะ ส่วนในช่วงหน้าหนาวก็สามารถชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้อย่างสวยงามอีกด้วย จากจุดที่เรายืนอยู่หน้าบ้าน ก็จะมองเห็นเทือกเขาน้อยใหญ่ เรียงตัวสลับ ซับซ้อนกันไปมา ราวกับเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติเลยก็ว่าได้ เก็บภาพบรรยากาศเป็นเสื้อผ้า ฟ้าก็เริ่มมีหมอกฟุ้งขึ้นมาเกยหน้าผาที่เรานั่งอยู่ค่ะ ค่อยๆลอยตัวของปกคลุมเพียงครึ่งหนึ่งของฝังพระหินกาบ กลายเป็นภาพวิวสวยอลังการเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยิ่งชวนให้เราอยากบันทึกภาพต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุดเลยค่ะ มาเต็มที่กับบรรยากาศพอใจกับภาพที่อยู่ในกล้องแล้วก็ได้เวลาบอกลาดอยผาผึ้งแล้ว ตอนอยู่ป่าไม่มี ขายห*ตามบ้าน เอาใบนี้ ที่เดิม ต้นกำลังเสือโคร่ง เป็นตัวแม่ สมัย ชมพู่ หายไปนานแล้วล้มอีกทีดิตอนเย็นลงจะค่อนข้างลื่นกว่าตอนเดินขึ้นเยอะเลยจะเอาผ้าไถลลงดินไปครั้งหนึ่ง 10 ต้องค่อยๆย้ำถ้าไม่ให้พลาดอีก นั่งรถอีแต๊กตอนขากลับดูสนุกตอนขามาอีกค่ะ อาจจะเพราะรู้สึกว่าคุ้นชินกับมันไปแล้ว แต่ตอนที่ใช้สอย แอบเสียวอยู่ เหมือนกันค่ะบอกเลยว่าตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียวแต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยความชำนาญของพี่ชาย จนในที่สุดเราก็กลับมาถึงบ้านภูแววิวอย่างปลอดภัยดีค่ะ กลับมาเจอกับเมื่อเช้าที่ทางที่พักได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ ด้วยความหิวเราใช้เวลาไม่นานกับอาหารตรงหน้าผ่อนคลายไปกับกลิ่นควันชารอนที่เลยครูปล่อยให้ อาหารมื้อนี้จบทริปไปอย่าง สวยงาม จริงๆแล้วบ้านมณีพฤกษ์นั้นยังมีเรื่องราวและสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติลึกลับสวยงามซ่อนตัวอยู่อีก รักมากมายให้เรารักเดินทางอย่างพวกเราไปค้นหากันค่ะฤดูกาลของเหล่านักเดินทางมา อย่าลืมคิดถึงน่านกันนะคะ
ในที่สุดฤดูฝนก็ได้วนกลับมายังพวกเราทุกคนอีก อีกครั้งแล้วค่ะ เรื่องราวของทริปหน้านวดหน้าก็จะกลับมาดำเนินต่อไปเช่นกัน หลังจากเดินทางออกจากบ้านกล้วย แกว่าจะคม Stay Khao ก็ได้ค่ะ มีที่หลายคนว่าจะต้องไปต่ออีก สถานที่แห่งหนึ่งให้ได้ค่ะสถานที่แห่งนี้นั้นตั้งอยู่ที่บ้านมณีพฤกษ์อำเภอทุ่งช้างจังหวัดน่าน มีระยะทางห่างจากบ้านกล้วยเพียง 30 15 กิโลเมตรเท่านั้น LINE ที่นี่มีชื่อเสียงเรียงนามว่าบ้านภูแววิวค่ะ ถึงแม้ว่ารอยต่อจากบ้านกล้วยไปยังบ้านมณีพฤกษ์จะมีระยะทางเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ด้วยฤดูฝนที่มักจะมาพร้อมกับพายุที่โหมกระหน่ำรุนแรงต่อเนื่องอย่างพายุมู่หลานในช่วงที่ผ่านมา ทำให้หลายพื้นที่ในจังหวัดน่านได้รับความเสียหาย รวมถึงถนนเส้นนี้ที่เรากำลังเดินทางอยู่ด้วยพอได้รับผลกระทบจากดินสไลด์หลายจุดจึงทำให้การ การเดินทางนี้ใช้เวลานานกว่าที่คิดเอาไว้ เกาหลีตัวเองไปตามทางโค้งของถนน ฟ้าหลังฝนที่แจ่มใสได้ไม่นานก็มีฝนตกโปรยปรายลงมาอีกครั้ง สังเกตได้จากร่องรอยหยดน้ำบนหน้าต่าง ถนนทั้งสายที่เริ่มชุ่มน้ำ ในความรู้สึก อากาศภายในรถที่เย็นชื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางสีเขียวของธรรมชาติ ทำให้เรารู้สึกดีทุกครั้งที่มองผ่าน สายตา เหมือนเขาได้มาช่วยบำบัดจิต ใจเราให้สงบผ่อนคลาย แถมยังช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าให้เราได้ดีเลยค่ะ ขับผ่านอุโมงค์ต้นไม้สีเขียวสดมาแล้วก็เหมือน เหมือนผ่านพ้นพายุมาด้วยฟ้าหลังฝนกลับมาอีกครั้ง โทรมาพร้อมวิวทะเลภูเขานับไม่ถ้วนบ่งบอกถึงการขึ้นมาเหนือความสูงกว่า 1000 เมตรจากระดับน้ำ น้ำทะเลปานกลาง เราสะดุดตากับวิวภูเขาตรงหน้า ยิ่งพอเข้าไปใกล้ๆก็เริ่มเห็นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นภาพสวนกะหล่ำ ที่เรียงตัวไล่ระดับบนเนิน เขายังแน่นๆ ซึ่งบอกตามตรงว่านี่เป็นทิวทัศน์ที่ชวนให้พวกเราตื่นตาตื่นใจกันมากๆเพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้ ไม่เห็นถุงกะหล่ำปลีที่สวยงามเต็มภูเขา แต่ความสวยงามของอาชีพนี้ก็ต้องแลกมาด้วยการเสียสละของป่าไม้บนภูเขาและภัยอันตรายจาก สารเคมีที่มีต่อชาวบ้านค่ะ ช่วงหลังชาวบ้านในบ้านมณีพฤกษ์ซึ่งมีการทยอยกันป่าว หันมาปลูกกาแฟแบบเกษตรไบโอชีวภาพกันมากขึ้นเพื่อคืนป่าไม้ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ คลังชนบ้านมณีพฤกษ์กลายเป็นแหล่งกาแฟชั้นดีเลยทีเดียว เดินทางกลางฝน อยู่ตั้งแต่เที่ยงจรดเย็น จนในที่สุดเราก็ขึ้นมาถึงบ้านภูแววิวกันแล้วค่ะ กำลังดีเลยมีแดดรอดกลีบเมฆมาเป็นระยะระยะ เพียงพอให้เราได้เก็บ มุมสูงรอบๆหมู่บ้าน บ้านภูแววิวตั้งอยู่บ้านมณีพฤกษ์อำเภอทุ่งช้าง เป็นรอยเล็กๆในใจ จังหวัดน่าน สามารถมองเห็นวิวภูเขาที่เป็นยอดเขาลูกหนึ่งบนเทือกเขาดอยภูคาอยู่ใกล้ๆ มีชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์ม้งและรั้ว ซึ่งเดิมทีชาวบ้านที่นี่จะมีรายได้หลักจากการปลูกกะหล่ำปลีและขิง เหมือนอย่างภูเขากะหล่ำปลีก่อนหน้านี้ที่เราได้ขับรถผ่านมานั้นเองค่ะ แต่ด้วยความที่พืชเหล่านี้ต้องถูก ในที่โล่งแจ้ง ทำให้มีการทางปลาจนกลายเป็นภูเขาหัวโล้นจึงแก้ปัญหาปรับเปลี่ยนมาปลูกกาแฟแทน ด้วยปัจจัยเรื่องอากาศ หมาที่มีความหนาวเย็นตลอดปีมีแสงแดดน้อยทำให้กาแฟค่อยๆสูบมีเวลา สะสมธาตุอาหาร สภาพดินที่เคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน มีธาตุโพแทสเซียมสูงช่วยให้ผลกาแฟหวาน กลายเป็นแบรนด์กาแฟเดอม้งดังคุ้นหูคอกาแฟไทยที่มีรางวัลการันตีคุณภาพจะมีราคา ราคาสูงที่สุดใน ไทยค่ะ แต่ทำความรู้จักบ้านมณีพฤกษ์ไป สมควรแล้วเราไปชมบ้านพัก ของเรากันบ้างค่ะ พี่เจ้าของที่พักที่ออกมาต้อนรับตัวแทน บางทีเราเดินเข้าไปด้วยสภาพเนื้อตัวที่ค่อนข้างสบาย บักบอมจากที่ผ่านมา Darling สีทาเข้าไปในบ้านพักอย่างรวดเร็วเพื่อรีบไปทำ เนื้อตัวให้ สดชื่นขึ้น พักที่นี่ออกแบบได้สวยงามและใส่ เลยค่ะดูได้ ตั้งแต่รั้วบ้านการทำป้ายเล็กๆน่ารักๆ รวมไปถึงระเบียงบ้านตัวบ้านและภายใน สิ่งที่เราประทับใจอย่าง ต่อเนื่องคือวิวภูเขาที่สระ สามารถมองผ่าน ภายในบ้านได้ แม้ว่าอากาศฟ้าฝนจะเป็นยังไงเราก็ยังสามารถชมวิวทิวเขานี้ได้ตลอดวัน รักๆตกแต่ง ชื่อดังที่น่าจะเป็น ตอนนี้ได้กลายเป็นความชอบ ของเราด้วยเช่นกันทั้งวิวที่สวยงาม หนังสือการ์ตูนแฟรี่เทลเรื่องโปรด ถึงได้กลายเป็นมุมโปรดของเราได้ไม่ยากเลย ถ่ายมุมนั่งเล่นไปสู่ห้องนอนภายในห้องหอมฟุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นดอก ไม้ เป็นห้องนอนที่ชวนฝันมากเลยทีเดียว ถามกับมีหน้าตาอีก บ้านให้แสงแดดได้พอเข้าถึงในยามเช้า ส่วนห้องน้ำกว้างขวางแบ่ง สั่งสอนให้เลือกใช้อย่าง อาบน้ำทำความสะอาด เคลียร์ตัวเองเรียบร้อยแล้ว สดชื่นก็กลับมาอีกครั้ง พร้อมที่จะพาทุกคนไปเสพบรรยากาศดีๆกันแล้วค่ะ ก่อนอื่นก็ขอสั่ง น้ำเย็นๆ แก้วและขนม บ้านภูแววิว คาเฟ่ มาเติมเต็มเพิ่มพลัง ได้ดื่ม น้ำเย็นๆ การเดินทางไกลมา ได้นั่งนิ่งๆกว่า สายตามองภาพเหล่านี้ไปเรื่อยๆ อาจจะไม่ได้ว่าอะไร แต่มันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยค่ะ อากาศในยามบ่ายมีแดดอ่อนๆแต่เย็นสบาย ชวนให้เราอยากไปเดินเล่นรอบๆที่พักกันบ้าง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ อาการทางธรรมชาติอย่างรุ้งกินน้ำที่เลี้ยงสีอยู่ การทดรอบก็เป็นไฟไม่น้อยเลยค่ะ เราหันเห สนใจมาที่รั้วไหม ที่เต็มไปด้วยกุหลาบ เปลือยสีชมพูเข้มบนอ่อน เหลืองสลับไปมาตามแนวยาวของรั้ว ชวนให้บรรยากาศ สดชื่นหอมหวาน จนต้องขอเป็น บันทึกภาพไว้สักหน่อย และบริเวณรอบๆนี้ก็ยังมีดอกไม้ดอกใหญ่อีกหลายชนิดเลยค่ะบ้านพักวิวดีมีเสน่ห์เต็ม ไปด้วยธรรมชาติสวยงาม ทำเอาอีก ชาเจ้าถิ่นอย่างน้องเหมียวที่นอนสบายอยู่เลยค่ะ สายฝนกับแสงแดด ยังคงสลับกันไปมาอยู่ด้วยเรื่อยๆพอเริ่มตกเย็นก็มีเด็กๆในหมู่บ้านออกมาเดินเล่นกันเป็นกลุ่ม เจ้าที่กำลังถ่ายภาพมุมสูงด้วยเจ้าโดนตัวนี้ก็ทำเอาเด็กๆตื่น ตื่นเต้นกันใหญ่ ที่จะโดนถ่ายภาพ ติดไปด้วย เห็นแบบนี้ก็เลยอดที่จะแกล้งไม่ได้จนเด็กๆพากันวิ่งวุ่นเข้าไปในพุ่มไม้คิดว่าคงหลง ผลจากเจ้าโดนตัวนี้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้น ทำให้เราได้เห็นเส้นทางที่เด็กๆกำลังวิ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนภารกิจ เก็บภาพมุมสูง สำเร็จเด็กๆก็พากันกลับมาอีก ค้างด้วยความกล้าและฐาน มาทาน ต้องขอบคุณ ในกลุ่มนี้เลยค่ะที่นำความน่ารักมาสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับพวกเราเหมือนเป็นการต้อนรับอย่างนึง ที่ทำให้พวกเรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปด้วย ก้าวเดินออกมายังระเบียงด้านนอกเพื่อสูดอากาศ ชมวิวพยายาม ซึมซาบ ให้เป็นหนึ่งเดียว ที่นี้ วิวทะเลภูเขา ที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ตรงหน้า เราสามารถพูดได้เต็ม คำว่าที่นี่ช่างสวย ยิ่งได้มา สัมผัสด้วยตัวเองผ่านประสาท ทั้งหูตาบาท จมูกณจุดนี้เราแทบไม่อยากขยับ เตรียมตัวไปไหนทั้งนั้นเลย ในช่วงเช้าของบางวันถ้าอากาศ ก็จะมีหมอก ตาไหลมากระทบกันเต็มร่องเขานี้ ต้องมารอลุ้นกัน เป็นข่าวว่าเราจะได้เจอกัน ตอนนี้สายฝนกับ กันไปมา ทำให้เกิดปรากฏการณ์รุ้งกินน้ำ คนที่สวยที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยเห็น เขียนมาในชีวิตนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ สายรุ้งกินน้ำเคยเห็น ฉันในเวลาเดียวกัน รุ้งกินน้ำ ชั้นล่างเรียกว่ารุ้งปฐมภูมิ ส่วนรุ้งกินน้ำชั้นบนสีแดงๆนั้นเรียกว่ารุ้งทุติยภูมิค่ะ ที่นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ การที่ได้เห็นการเรียงตัวของศีรษะ การต่างๆที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าด้วยองศา 3 ความโค้งมนที่ลงตัวทอดยาวเด่น งานอยู่ท่ามกลางขุน เขาแห่งเมืองน่านนะเวลานั้นมีความรู้สึกดีมากมายเกินที่จะกลายเป็นคำพูดได้จริงๆค่ะ ฝ่ายเริ่มมาฝนไม่นานทางที่พักก็จัดชาบูมาให้ค่ะ นั่งทานไปชมวิวไป นอกจากมองเห็นภูแวแล้วยังสามารถมองเห็นผ่าตัด ของพระอาทิตย์อีกด้วยค่ะ ระหว่างที่เพลิดเพลินกับมื้อเย็นอยู่นานทะเลหมอกก็เริ่มไหลมาตั้งแต่เย็นจนถึงช่วงใกล้ค่ำ ท้องฟ้ามืดลงเราก็ได้ภาพวีดีโอนี้มาค่ะ เป็นทะเลหมอกที่มีฉาก เป็นทะเลดาวค่อยๆเคลื่อนไหวไปพร้อมๆกัน เสียงคลื่นทะเลที่ ไปมาอยู่ อย่างนั้นตกดึกเราก็จะพาทุกคนมาสิ ส่งเข้านอนโดยทางช้างเผือกที่ผ่านมาให้เห็นได้ไม่นานนะเพราะด้วยแสงสว่างของพระจันทร์และไม่ฝนที่พัก มาบดบัง ทำให้เราได้นำมาฝาก ทุกคนได้เพียงเท่านี้แล้วเจอกันพรุ่งนี้เช้าค่ะ ฉันยังคงเป็นเสียงนาฬิกาปลุก ปลุกฉันดีของเราเสมอ มันไม่ได้ทำ กลับกันเรารู้สึก ถึงความมีชีวิตชีวาอย่างบอก เช้าวันนี้ไม่มีทะเลหมอกเหมือนเมื่อวาน แต่ทดแทนด้วยสีของท้องฟ้าที่เกิน ธรรมบรรยาย พระอาทิตย์จะขึ้นซะอีก ของรถอีแต๊กเอาไว้ เป็นประธานกลุ่มวิสาหกิจ กาแฟเดอม้ง แล้วจะเป็นไกด์นำเที่ยวของเราในวันนี้ที่จะพาเราเดินทาง ทางขึ้นสู่ดอยผา หาผึ้งโดยใช้รถ เป็นการเปิดตัว ที่ทำให้พวกเราเฝ้ารอและมีความ ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย เรานั่งรอพี่ชายใน วางบิลไป เมื่อเช้าผ่านกระจก ตรงร่องเขาพอมีหมอก เสียงกลางลอยมาให้เห็น จนถึงเวลาที่แดก เช้าได้ส่อง ศูนย์กระจายและละลาย ไป ในที่สุด การรอคอยก็มาถึง พี่ชายมาพร้อมกับรถ ติดแอร์ที่เราไม่คุ้น มีเจ้าเหมียวออกมาส่งเราด้วยขี้อ้อนสุด ถามแล้วก็ไปลุยกันเลยค่ะ ค่ะโดยปกติการเดินทางไปดอยผาผึ้งนั้นจะใช้รถโฟวิลในการ ขึ้นไปจุดใครจะเดินไปก็ได้แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝน ฝนที่ตก เกือบทุกวันทำให้ถนนลูกรังได้เปลี่ยนเป็นคนไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย เป็นค่าเดินทางนั้นแต่ละฤดูกาลก็จะ ในหน้าฝนเราจ่ายค่าเดินทางไปในราคา 1,000 บาทเดี๋ยวถ้าทุกคนได้เห็นเส้นทางกลับบ้าน การที่เราได้เจอก็จะรู้เองค่ะว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน ช่วงแรกนั้นถนนยังคงเป็นคอนกรีต ที่มีความเรียบอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพบกับความเป็นจริงที่รถอีแต๊กกำลัง ตัดลงสู่ถนนรูปร่าง ที่ฉันไปด้วยโคลน สีน้ำตาลส้ม ระหว่างทางจะเป็นป่าสนเรียงรายสองข้างทางตัดสลับกับทุ่งหญ้าคา สีเขียวเป็นช่วงๆรถอีแต๊กแรงดีคันนี้ถ้าเราขับผ่านเนินเขาแต่ระดับไปเรื่อยๆพี่ใช้ ขับรถอีแต๊กเก่งมากๆค่ะบางช่วงทางเล็กมากๆจนเราคิดว่าไม่น่าจะรอด แต่แกก็คอยบังคับให้มันผ่านไปได้ตลอดความรู้สึกเราตอนนี้คือระหว่างทางก็สวยจนอยากจะอ้วก เก็บภาพรัวๆ แต่สภาพเราทั้งสองคนที่แค่พยายามนั่งให้ก้นวางอยู่ที่เดิมก็ยังยากเลยค่ะ แล้วยิ่งบางช่วงที่เราใส่ไปตามทางที่ไม่เท่ากันรักษาของรถอีแต๊กก็ค่อยๆเอียงจนสมองมันคอยแตก คิดที่ธนาคารว่าเราจะตกรถอีแต๊กแล้วเพิ่งลงไปรวมกับบิลคนอยู่ด้วยเลยค่ะดูจากหน้าก็รู้ว่าเกรงสุด สูตรจากภาพที่คิดไว้ว่าเป็นทริปเรียบๆชิวๆสบายๆกลายเป็นชุดสายรัดจนภัยทรหด เขย่าตับไตไส้พุงกันแบบปั่นป่วน ซึ่งถ้าใครทานมื้อเช้ามาด้วยแล้วก็ เราว่าน่าจะมีพุงกันบ้างแน่ๆเลยค่ะแต่เราที่ยังไม่ทานอะไรมาตั้งแต่เช้าก็เกร็งจนเริ่มหิวแล้ว โชคดีที่พบขนม ติดตัวมาบ้าง ตอนนี้แค่จะใส่ขนมให้ตรงปากยังยากเลยเป็นประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืม แถมบางจุดก็จะมีต้นสูงที่โดนพายุพัดกระหน่ำจนล้มพาดยาวมายังอีกฝั่งทำให้เราต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ถ้าอย่างนั้นจากนักท่องเที่ยวจะพัฒนากลายเป็นผู้ประสบภัยโดยสมบูรณ์อย่างแน่นอน ผ่านด่าน เขาธรรมชาติมาล่ะ LINE สูตรเมื่อพบจุดที่มีน้ำขัง น้ำไม่สามารถไหลผ่านไปได้พี่ชายก็จะลงไปเปิดทางน้ำให้เขาได้ไหลผ่านไปได้ค่ะ บุกป่าฝ่าดงมาเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกว่า ตอนนี้เราก็มองเห็นยอดดอยผาผึ้งแล้วค่ะทุกคน ดอยผาผึ้งมีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนแหลมตั้งตระหง่าน ขึ้นมา สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,600 เมตร ส่วนมากจะเป็นทุ่งหญ้าคาปกคลุมขาวตามลักษณะที่เราเห็น ใกล้ๆและมีลักษณะเหมือนดอยภูแว มารถอีแต๊กมาจอด ถึงจุดที่เราต้องเดินเท้าขึ้นไปสู่ยอดดอยผาผึ้งก็ถึงเวลาใช้กำลังขา ของตัวเองพาตัวเองขึ้นไปพบกับความสวยงามของเธอ ธรรมชาติกันแล้วค่ะ พี่ชายเดินนำเราไปก่อนล่ะ สาย 9 เพื่อเช็คเส้นทางให้ล่วงหน้า ถ้ายังไม่ถึงฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างหน้าหนาวที่ชาวบ้านจะช่วยกัน ถางหญ้าเป็นทางเดินขึ้นเพื่ออำนวย ท่องเที่ยวค่ะ ที่นี่สวยงามและเงียบสงบมากเลย นับได้ว่าเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศ 360 และยังเป็นอีก Android ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จักหรือมาเที่ยวกันมากนะ ไม่เราเดินมาจนถึงยอดดอยผาผึ้งก็เริ่มมีลมเย็นๆเข้ามาปะทะกับหน้า ทำให้รู้สึกสด ชื่อและลืมความหิวไปเลยค่ะ หลังจากนั้นก็ปล่อยกายจะอิสระให้ซึมซับกับความสวยงามของวิวข้างหน้าแบบเต็ม พี่ชัยเล่าว่าที่มาของชื่อดอยผาผึ้งนั้นมาจาก สมัยก่อนที่มีผึ้งมาทำรังบนหน้าผาจำนวนมากและชาวบ้านมักจะปีนป่ายขึ้นมาตีผึ้งมากมายจน ปัจจุบันไม่มีรังผึ้งเหลืออยู่แล้ว แต่เปลี่ยนไปจุดชมวิวยอดฮิตของหมู่บ้านแทน ซึ่งบนยอดดอยนี้จะมอง ปลาดิบอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ สายก็จะมองเห็น ดอยภูแว สถานที่ที่ชาวม้งพำนักเป็นที่แรกก่อนย้ายมาอยู่ที่บ้านมณีพฤกษ์ สภาพอากาศเป็นใจขึ้นก่อนหน้าฝนตกเราจะสามารถเห็นทะเลหมอกในตอนเช้าตรู่ที่ยกตัวสูงเกือบจะเยอะ ดอยเลยค่ะ ส่วนในช่วงหน้าหนาวก็สามารถชมบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้อย่างสวยงามอีกด้วย จากจุดที่เรายืนอยู่หน้าบ้าน ก็จะมองเห็นเทือกเขาน้อยใหญ่ เรียงตัวสลับ ซับซ้อนกันไปมา ราวกับเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติเลยก็ว่าได้ เก็บภาพบรรยากาศเป็นเสื้อผ้า ฟ้าก็เริ่มมีหมอกฟุ้งขึ้นมาเกยหน้าผาที่เรานั่งอยู่ค่ะ ค่อยๆลอยตัวของปกคลุมเพียงครึ่งหนึ่งของฝังพระหินกาบ กลายเป็นภาพวิวสวยอลังการเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยิ่งชวนให้เราอยากบันทึกภาพต่อไปเรื่อยๆไม่มีหยุดเลยค่ะ มาเต็มที่กับบรรยากาศพอใจกับภาพที่อยู่ในกล้องแล้วก็ได้เวลาบอกลาดอยผาผึ้งแล้ว ตอนอยู่ป่าไม่มี ขายห*ตามบ้าน เอาใบนี้ ที่เดิม ต้นกำลังเสือโคร่ง เป็นตัวแม่ สมัย ชมพู่ หายไปนานแล้วล้มอีกทีดิตอนเย็นลงจะค่อนข้างลื่นกว่าตอนเดินขึ้นเยอะเลยจะเอาผ้าไถลลงดินไปครั้งหนึ่ง 10 ต้องค่อยๆย้ำถ้าไม่ให้พลาดอีก นั่งรถอีแต๊กตอนขากลับดูสนุกตอนขามาอีกค่ะ อาจจะเพราะรู้สึกว่าคุ้นชินกับมันไปแล้ว แต่ตอนที่ใช้สอย แอบเสียวอยู่ เหมือนกันค่ะบอกเลยว่าตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าเลยทีเดียวแต่ก็ผ่านพ้นมาได้ด้วยความชำนาญของพี่ชาย จนในที่สุดเราก็กลับมาถึงบ้านภูแววิวอย่างปลอดภัยดีค่ะ กลับมาเจอกับเมื่อเช้าที่ทางที่พักได้จัดเตรียมเอาไว้ให้ ด้วยความหิวเราใช้เวลาไม่นานกับอาหารตรงหน้าผ่อนคลายไปกับกลิ่นควันชารอนที่เลยครูปล่อยให้ อาหารมื้อนี้จบทริปไปอย่าง สวยงาม จริงๆแล้วบ้านมณีพฤกษ์นั้นยังมีเรื่องราวและสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติลึกลับสวยงามซ่อนตัวอยู่อีก รักมากมายให้เรารักเดินทางอย่างพวกเราไปค้นหากันค่ะฤดูกาลของเหล่านักเดินทางมา อย่าลืมคิดถึงน่านกันนะคะ