หากคุณกำลังมองหาวิธีในการใช้แอร์หน้าร้อนอย่างประหยัดพลังงานเพื่อลดค่าไฟ คุณมาถูกที่แล้ว! ในบทความนี้เราจะแนะนำวิธีที่ท่านสามารถปรับใช้แอร์หน้าร้อนให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระเป๋าของคุณ พร้อมกันทั้งยังคงความคุ้มค่าในการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพด้วย!
1 เช็คว่าขนาดแอร์เหมาะสมกับตัวห้องมั้ย?
การเลือกขนาดแอร์ที่เหมาะสมกับขนาดห้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คุณได้ประสบการณ์การใช้งานที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด วิธีการคำนวณที่ง่ายและมีประสิทธิภาพเพื่อตรวจสอบว่าขนาดแอร์เหมาะสมกับตัวห้องหรือไม่คือการใช้สูตร BTU (British Thermal Units) ซึ่งเป็นหน่วยวัดความสามารถในการเย็นหรืออบอุ่นของแอร์.
สูตร BTU = พื้นที่ห้อง (ตร.ม.) x 800
หรือหากห้องรับแดดตลอดวัน คุณสามารถคูณด้วย 1,000 เพื่อปรับให้เหมาะสมกับสภาพการรับแสงแดดของห้อง.
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีห้องทำงานขนาด 3×4 เมตร (12 ตร.ม.) และห้องนี้ติดผนังรับแสงแดดทางทิศตะวันตก คำนวณโดยการคูณ 12 ตร.ม. x 1,000 = 12,000 BTU
ดังนั้นคุณควรเลือกซื้อแอร์ขนาด 12,000 BTU เพื่อให้การทำงานของแอร์เหมาะสมกับพื้นที่และสภาพการรับแสงแดดของห้องนั้นๆ ที่ท่านใช้งานอยู่ครับ. การคำนวณแบบนี้จะช่วยให้คุณประหยัดพลังงานและเงินในระยะยาวเมื่อใช้แอร์อย่างเหมาะสมกับขนาดห้องและสภาพแวดล้อมที่คุณใช้งาน.
2 เปิดพัดลมช่วย
เปิดพัดลมช่วยในการกระจายอากาศและช่วยลดอุณหภูมิในห้องได้ดี เมื่อใช้ร่วมกับแอร์หน้าร้อน พัดลมช่วยในการกระจายความอบอุ่นให้ทั่วห้อง ทำให้ห้องคงความอบอุ่นและสบายสุขมากขึ้น
การเปิดพัดลมช่วยยังช่วยลดฝุ่นและคราบน้ำค้างบนผนังหรือหน้าต่างในห้อง ทำให้ห้องมีความสะอาดและสดชื่นมากยิ่งขึ้น เมื่อใช้พัดลมช่วยในการกระจายอากาศคุณสามารถปรับความเร็วของพัดลมตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นระดับเบาสบายหรือระดับสูงเพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนของอากาศในห้อง.
ดังนั้น การเปิดพัดลมช่วยเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้แอร์หน้าร้อน ช่วยให้คุณสามารถใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าไฟได้อีกด้วย.
3 เปิดพัดลมดูดอากาศร้อนออกไปก่อนเปิดแอร์
เมื่อต้องการใช้แอร์หน้าร้อนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณสามารถเปิดพัดลมดูดอากาศร้อนออกจากห้องก่อนที่จะเปิดแอร์ได้ วิธีนี้จะช่วยให้การทำงานของแอร์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเร็วขึ้น.
เมื่อห้องมีอากาศร้อนสะสมอยู่ภายใน การที่เราเปิดแอร์หน้าร้อนทันทีอาจทำให้แอร์ต้องใช้เวลานานในการลดอุณหภูมิของอากาศ และอาจทำให้การใช้พลังงานมากขึ้น เพราะแอร์ต้องทำงานหนักกว่าเนื่องจากต้องลดอุณหภูมิของอากาศร้อนให้เหมาะสม.
ดังนั้น การเปิดพัดลมดูดอากาศร้อนออกจากห้องก่อนที่จะเปิดแอร์หน้าร้อน เป็นวิธีที่ดีในการเตรียมพร้อมสภาพอากาศให้แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นและช่วยให้ห้องร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.
4.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน
การหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนเป็นวิธีที่ดีในการประหยัดพลังงานและลดการใช้แอร์หน้าร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน เช่น เตาอบ, เครื่องปรับอากาศ, เตารีด มักจะผลิตความร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิในห้องสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้แอร์ต้องทำงานหนักเพื่อควบคุมอุณหภูมิ.
หากคุณไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน คุณสามารถหลีกเลี่ยงการใช้งานเมื่อไม่จำเป็น ตัวอย่างเช่น หากไม่ต้องการใช้เตาอบ คุณสามารถเลือกใช้ไมโครเวฟหรือเตาอุ่นอาหารแบบเร็วแทน. นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องปรับอากาศในโหมดรับอากาศที่เย็นและเครื่องตัดผมที่ไม่ผลิตความร้อนเมื่อไม่จำเป็น.
การลดการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดพลังงานและค่าไฟ แต่ยังช่วยลดการทำงานของแอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น ควรพิจารณาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนให้มีความต้องการเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และหากไม่จำเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงใช้งานเมื่อเป็นไปได้.
5 หลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้อง
การหลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้องเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้การใช้แอร์หน้าร้อนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ความชื้นในอากาศสามารถทำให้คุณรู้สึกร้อนและอบอุ่นมากกว่าจริง ทำให้คุณต้องเพิ่มอุณหภูมิของแอร์เพื่อให้ห้องรู้สึกสบาย ซึ่งอาจทำให้การใช้พลังงานมากขึ้น.
หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงความชื้นเข้าห้อง คุณสามารถทำได้โดยการปิดประตูหน้าต่างและประตูที่อาจทำให้ความชื้นจากภายนอกเข้ามา นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เครื่องอบเช็ดมือหรือเครื่องดูดความชื้นเพื่อลดความชื้นในห้องได้.
การใช้เครื่องทำความเย็นหรือระบบระบายความชื้นในห้องยังเป็นวิธีหนึ่งในการลดความชื้นในอากาศ โดยเครื่องเหล่านี้จะช่วยลดความชื้นในอากาศและช่วยให้ห้องคงความอบอุ่นและสบายมากขึ้น.
ดังนั้น การหลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้องเป็นการวิธีที่สำคัญในการทำให้แอร์หน้าร้อนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น.
6 ติดฟิล์มกันความร้อน หรือ ม่านทึบแบบ 70%-100%
การติดฟิล์มกันความร้อนหรือใช้ม่านทึบที่มีความหนาและปิดทึบอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการลดความร้อนที่เข้ามาในห้อง การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันการสะสมความร้อนภายในห้องและช่วยให้แอร์หน้าร้อนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น.
การติดฟิล์มกันความร้อนบนหน้าต่างหรือใช้ม่านทึบแบบ 70%-100% จะช่วยป้องกันการส่งความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้อง ทำให้อุณหภูมิในห้องคงความอบอุ่นและสบายสุข นอกจากนี้ การปิดฟิล์มหรือม่านทึบอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้นยังช่วยลดการใช้พลังงานของแอร์หน้าร้อนที่ต้องทำงานเพื่อควบคุมอุณหภูมิ.
ดังนั้น การติดฟิล์มกันความร้อนหรือใช้ม่านทึบแบบ 70%-100% เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการสะสมความร้อนในห้อง ช่วยให้คุณสามารถลดการใช้งานแอร์หน้าร้อนอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานได้ครับ.
7 ล้างแอร์ทุก 6 เดือน
การล้างแอร์เป็นระยะเวลาที่สำคัญในการรักษาและดูแลการทำงานของแอร์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรทำการล้างแอร์ทุก 6 เดือนเพื่อให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและรักษาคุณภาพของอากาศในห้อง.
การล้างแอร์ทุก 6 เดือนจะช่วยล้างคราบฝุ่น, เชื้อรา, และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเครื่องแอร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์หรือเกิดปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพอากาศที่ออกมาจากแอร์ การล้างแอร์ทุก 6 เดือนยังช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องแอร์ ทำให้การระบายความร้อนและการทำงานของระบบระบายความชื้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น.
การล้างแอร์ทุก 6 เดือนเป็นการรักษาและดูแลแอร์อย่างถูกต้อง ทำให้คุณสามารถใช้งานแอร์ในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในอนาคต.
สรุป
การใช้แอร์หน้าร้อนอย่างประหยัดพลังงานเป็นทางเลือกที่ดีในการสร้างความอบอุ่นและสบายสำหรับห้องในช่วงเวลาที่หนาว แต่การที่จะให้แอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเครื่องใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป คุณสามารถนำเอาเคล็ดลับต่างๆ ที่ได้กล่าวมาข้างต้นมาใช้เพื่อลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้. นอกจากนี้ การดูแลและบำรุงรักษาเครื่องแอร์เช่นการล้างแอร์, การใช้พัดลมช่วยและการป้องกันความชื้นเข้าห้องยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของแอร์หน้าร้อนมีประสิทธิภาพและยาวนานมากยิ่งขึ้น
FAQs
1. การล้างแอร์ทุก 6 เดือนจำเป็นหรือไม่?
การล้างแอร์ทุก 6 เดือนเป็นการแนะนำที่ดีเพื่อรักษาคุณภาพของอากาศและประสิทธิภาพของเครื่องแอร์ ทำให้แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพและสะอาดมากยิ่งขึ้น.
2. การใช้พัดลมช่วยในการกระจายความร้อนจริงหรือไม่?
ใช่, การเปิดพัดลมช่วยในการกระจายความร้อนออกจากแอร์ทำให้การทำงานของแอร์มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน.
3. ม่านทึบแบบ 70%-100% ช่วยลดความร้อนได้จริงหรือไม่?
ใช่, ม่านทึบแบบ 70%-100% สามารถป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้องได้ ช่วยให้แอร์ทำงานได้มีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงาน.
4. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนส่งผลต่อการทำงานของแอร์หน้าร้อนไหม?
ใช่, เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน เช่น เตาอบ หรือเตารีด อาจทำให้แอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อควบคุมอุณหภูมิในห้อง จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้งานเมื่อไม่จำเป็น.
5. การติดฟิล์มกันความร้อนเป็นวิธีการป้องกันการสะสมความร้อนในห้องยังไงบ้าง?
การติดฟิล์มกันความร้อนหรือใช้ม่านทึบแบบ 70%-100% เป็นวิธีการป้องกันการสะสมความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้อง ช่วยให้คุณภาพอากาศคงความอบอุ่นและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้แอร์หน้าร้อนครับ.
7 วิธีเปิดแอร์หน้าร้อน ประหยัดไฟ ไม่ให้ค่าไฟพุ่ง [VIDEO]
#เปิดแอร์ #ประหยัดไฟ #ประหยัดแอร์
1 เช็คว่าขนาดแอร์เหมาะสมกับตัวห้องมั้ย?
เราสามารถคำนวนง่ายๆได้ว่าห้องของเราต้องใช้แอร์กี่ BTU โดย
BTU = พื้นที่ห้อง(ตร.ม.) x 800
แต่ถ้าห้องรับแดดทั้งวันก็คูณ 1,000 ไปเลย! เช่น ห้องทำงานขนาด 3×4 เมตร = 12 ตร.ม. ถ้าอยู่ติดผนังรับแดดเช่นทิศตะวันตก ก็คูณ 1,000 เท่ากับว่าเราควรซื้อแอร์ขนาด 12,000 BTU ขึ้นไปนั่นเอง
2 เปิดพัดลมช่วย
3 เปิดพัดลมดูดอากาศร้อนออกไปก่อนเปิดแอร์
4.หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อน
5 หลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้อง
6 ติดฟิล์มกันความร้อน หรือ ม่านทึบแบบ 70%-100%
7 ล้างแอร์ทุก 6 เดือน
เนื้อหาของวิดีโอ 7 วิธีเปิดแอร์หน้าร้อน ประหยัดไฟ ไม่ให้ค่าไฟพุ่ง
ดูเหมือนว่าในช่วงนี้หลายๆคนต้องทำงานอยู่ที่บ้าน แถมยังต้องเผชิญกับอากาศที่ร้อนสุดๆ ชิลไปไหนเลยรวบรวมพิธีที่จะช่วยให้เพื่อนๆประหยัดไฟจากการเปิดแอร์มาฝากค่ะ อันดับแรกเช็คก่อนว่าขนาดแอร์เหมาะสมกับตัวห้องหรือไม่ ด้วยแอร์จะถูกเรียกเป็น BTU ยิ่ง btu มากก็แปลว่าแอร์มีขนาดใหญ่ และให้ความเย็นในพื้นที่ได้มากกว่า เราสามารถคำนวณง่ายๆได้ว่า ห้องของเราต้องใช้แอร์กี่ BTU โดย btu จะเท่ากับพื้นที่ห้องเป็นตารางเมตร * 800 แต่ถ้าห้องรับแดดทั้งวันก็ 1000 ไปเลย ห้องทำงานขนาด 3 คูณ 4 เมตรเท่ากับ 12 ตารางเมตรสมมุติผนังห้องโดนแดดเยอะเช่นอยู่ทางทิศตะวันตกก็คือ เท่ากับว่าเราควรซื้อแอร์ขนาด 12000 btu ขึ้นไปนั่นเอง คิดได้กี่ BTU ก็ห้ามซื้อต่ำกว่านี้เดี๋ยวจะไม่เย็นค่ะ 2 เปิดพัดลมช่วย จริงๆแล้วอุณหภูมิที่มนุษย์จะอยู่ สบายที่สุดก็คืออุณหภูมิแบบเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งก็ราวๆ 24 ถึง 28 เซลเซีย โดยการตั้งอุณหภูมิแอร์ไว้ที่ 15 องศ ไม่ใช่อุณหภูมิ จัดไปที่สุด แต่เป็นเพียงอุณหภูมิที่เรากำลัง พอดีและแอร์ก็ไม่กินไฟมากเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วเรา อาจจะปรับให้เป็น 27 28 องศา แล้วเปิดพัดลมช่วยก็จะประหยัดกว่า 3 เปิดพัดลมดูดอากาศร้อนออกไปก่อน เปิดแอร์ ธรรมชาติของอากาศร้อนจะลอยตัวอยู่ด้านบนของห้อง ถ้าเรามีพัดลมดูดอากาศก็เปิดให้ อากาศร้อนออกไปก่อนแล้วค่อยเปิดแอร์ จะช่วยประหยัดไฟได้ สำหรับใครที่ไม่มีพัดลมดูดอากาศ ก่อนเปิดแอร์ประมาณ 15 นาทีก็เปิดหน้าต่าง เพื่อให้อากาศเข้าไป ถ่ายเทในห้องก็เป็นการช่วยระบายความ ความร้อนที่ สมอยู่ในห้องได้ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มี ความร้อน การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่แผ่ความร้อนภายในห้องทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น เช่นการรีดผ้า ทำอาหารด้วย กระทะไฟฟ้าหม้อต้มน้ำร้อน หรือแม้กระทั่งหยกอาหารร้อนๆเข้า ทานในห้องก็เป็นสาเหตุ ทำงานหนัก ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการช่วยให้ หนักลดลง 5 หลีกเลี่ยงการนำความชื้นเข้าห้อง ปกติแล้วแอร์จะใช้พลังงานในการ ส่วนอีก 70% เป็นพลังงานที่ใช้ จากความชื้นเพื่อทำให้สภาพอากาศ ภายในห้องแห้ง เราจึงควรหลีกเลี่ยงการ สิ่งของที่ก่อให้เกิดความชื้นเข้ามาในห้อง เช่น การระดมเอาต้นไม้ฟอกอากาศ หลายต้นไปไว้ในห้อง ซึ่งอาจจะเหลือสัก 1 2 ต้นก็พอ รวมไปถึงการ ผ้าเช็ดตัวด้วยนะเอา ตากข้างนอกห้องดีที่สุด 6 ติดฟิล์มกันความร้อน ฟิล์มแบบใสๆเม็ดละประมาณ 150 450 บาท แล้วแต่ LINE แน่นอนว่ามันช่วยกันความร้อนได้ จริงๆค่ะ หรือถ้าไม่อยากเปลืองตังค์อย่างน้อยติดมากก็ยังดี เพราะม่านจะช่วยลดการกระจาย ความร้อน ไม่ให้เข้าห้องมากเกินไป และยังช่วยจำกัด อุณหภูมิความร้อนระหว่างวันได้เป็นอย่าง ยินดีด้วย ล้างแอร์ทุก 6 เดือน โรเบิร์ตแอดทุกวันฝุ่นจะเข้าไปสะสม ทั้งในพัดลมและตัวคอยแอร์ การล้างแอร์ ครั้งต่อปี ค่าไฟ ไปเลยนะ และถ้าแอร์อายุ 10 ปีขึ้นไป แนะนำให้ซื้อใหม่ไปเลย เอาแบบที่มี Inverter ด้วย ซึ่งจะสามารถคำนวณอุณหภูมิได้แม่นยำกว่าแอร์ ตัดติดตัด สุดท้ายมีตัวอย่างตารางการประมาณค่าไฟเมื่อเราเปิดแอร์เป็นเวลา 8 ชั่วโมงต่อวัน อยากห้องที่มีแอร์ติดผนัง 9000 ใช้ไฟ 700 วัตต์ ก็จะเสียค่าไฟราวๆ 400 กว่าบาทต่อเดือนเชียวนะ ลองเอาวิธีที่แนะนำไป ใช้ดูนะคะ เผื่อเห็นบิลค่าไฟเดือนหน้าแล้วจะได้ไม่หัวใจวาย